TEGH ส่งซิก Q4/66 สดใสมั่นใจปริมาณขายยางแท่งปีนี้เข้าเป้า 2 แสนตัน
บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) ส่งซิกแนวโน้มผลงานไตรมาส 4/2566 สดใส ขยายฐานลูกค้าไปจีน-อินเดีย โชว์ผลงาน 9 เดือนปีนี้ กวาดรายได้กว่า 9,204.38 ล้านบาท และมีกําไรสุทธิ146.50 ล้านบาท ฟากแม่ทัพหญิง "สินีนุช โกกนุทาภรณ์" มั่นใจปริมาณขายยางแท่งปีนี้เข้าเป้า200,000 ตัน รุกธุรกิจพลังงานทดแทน-กากอินทรีย์ หนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน
นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TEGH) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2566 คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคายางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/2566 หลังปริมาณการสต็อกยางขนาดใหญ่ในประเทศจีนลดลงมาอย่างต่อเนื่อง และจะกลับมาเพิ่มสต็อกยางในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ โดยบริษัทฯได้ปรับการขายไปยังกลุ่มลูกค้าอินเดียกับจีนมากขึ้น โดยคาดการณ์แนวโน้มปริมาณขายยางแท่งในปีนี้ จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 200,000 ตัน โดย 9 เดือนแรกทำได้แล้ว 150,000 ตัน แบ่งเป็นสัดส่วนขายภายในประเทศ 52% และส่งออก 48%
นอกจากนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ขยายการลงทุนเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงผู้ผลิตยางล้อที่มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตตามมาด้วย มองว่าจะสนับสนุนความต้องการการใช้ยางแท่งในประเทศให้ปรับตัวสูงขึ้น
นางสาวสินีนุช กล่าวอีกว่า ในปี 2567 บริษัทฯมีแผนจะขยายกำลังการผลิตยางแท่งเพิ่มอีก 70,000 ตันส่งผลให้มีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 390,000 ตัน ซึ่งแผนขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นสอดรับกับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ และ บริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับมาตรการ EUDR ที่ได้มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยปีนี้เริ่มมีออเดอร์ยางแท่งเกรด EUDR เข้ามาแล้ว และจะมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในปีหน้า โดยเฉพาะจากลูกค้าฝั่งยุโรป ซึ่งจะมีราคาที่ดีกว่าราคาขายยางแท่งเกรดพรีเมี่ยมปกติ
“การขยายกำลังการผลิตยางแท่งจะทำให้เกิด Economy of Scale ต้นทุนการผลิตจะลดลง โดยเฉพาะต้นทุนค่าแรงต่อหน่วย นอกจากนั้น เรายังมีการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อเป็นการลดต้นทุนไฟฟ้าและมุ่งสู่การเป็น Carbon Neutral ซึ่งบริษัทได้ติดตั้ง solar roof เสร็จสิ้นไปแล้ว 1 เมกะวัตต์มีแผนติดตั้งเพิ่มอีก 1.25 เมกะวัตต์ในปี 2567 และยังคงเน้นการใช้ก๊าซชีวภาพทดแทน LPG ในอัตราส่วนที่มากกว่า 90%”
ในส่วนของธุรกิจผลิตและจําหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ ภายหลังจากปรับปรุงเครื่องจักรเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผลประกอบการเริ่มกลับสู่สภาวะปกติ ส่งผลดีต่อปริมาณและคุณภาพสินค้า โดยมีอัตราการสกัดน้ำมันปาล์มดิบ (%OER) ดีขึ้น อยู่ในช่วง 18-19% และสามารถเพิ่มสัดส่วนน้ำมันปาล์มดิบเกรดดี (กรดต่ำ) ได้ สำหรับโครงการติดตั้งหม้อต้มไอน้ำ (Boiler) เพิ่มเติม เป็นไปตามแผน ซึ่งจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบได้อีก 30 ตันปาล์มทะลายสด/ชั่วโมง คาดว่าจะเริ่มทดสอบระบบได้ช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า จะทำให้บริษัทสามารถรับปาล์มทะลายสดได้เพิ่มขึ้นในช่วงพีคของปาล์ม และไม่ต้องหยุดการผลิตในกรณีที่หม้อต้มไอน้ำ (Boiler) ตัวใดตัวหนึ่งมีปัญหา
บริษัทฯยังคงมุ่งเน้นบริหารจัดการด้านต้นทุนวัตถุดิบ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการขยายธุรกิจผลิตพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์มากขึ้น เป็นการสร้างฐานรายได้ประจำที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ (Recurring Income) ซึ่งโครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพดำเนินไปตามแผน คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ในปีหน้า และการขยายในเฟสถัดไปจะเริ่มในต้นปี 2567 เพื่อรองรับโครงการซื้อขายก๊าซชีวภาพกับลูกค้าภายนอกกลุ่ม ที่คาดว่าจะเริ่มซื้อขายก๊าซชีวภาพได้ในปลายปี 2567
กรรมการผู้จัดการ TEGH กล่าวอีกว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 ถือว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยเมื่อเทียบไตรมาส 2/2566 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้ใกล้เคียงเดิมที่ 3,001.70 ล้านบาท กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 265.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.61 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.55% และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 40.35 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 36.80 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1,037.94 %
สำหรับผลการดําเนินงานของบริษัทฯ สําหรับงวด 9 เดือนปีนี้ มีปริมาณขายยางแท่ง เพิ่มขึ้น 5.70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการ 9,204.38 ล้านบาท และมีกําไรสุทธิเท่ากับ 146.50 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ของแต่ละธุรกิจ แบ่งเป็นรายได้ 1.จากธุรกิจผลิตและจําหน่ายยางธรรมชาติ อยู่ที่ 83% 2.ธุรกิจผลิตและจําหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ 16% และ3.ธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ 1%
อย่างไรก็ตาม หากแยกในส่วนของธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ มีรายได้ 98.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.08 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.10% เนื่องจากมีปริมาณการรับกําจัดกากอินทรีย์เพิ่มขึ้นและอัตราค่าบริการเฉลี่ยที่สูงขึ้น จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้าเดิม และความสามารถในการสรรหาลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ต่อเนื่อง ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการปฏิบัติให้สอดรับกับประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม ว่าด้วยเรื่องการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการกำจัดของเสียได้
“กากอินทรีย์ที่บริษัทรับกำจัดจากลูกค้าภายนอกมีปริมาณเพิ่มขึ้น สามารถทำ All Time High ได้ในไตรมาสนี้ตามแผน และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคารับกำจัดที่เพิ่มขึ้น ราคาก๊าซชีวภาพที่เพิ่มขึ้นตามราคาเชื้อเพลิงอ้างอิง ทำให้กำไรขั้นต้น และกำไรสุทธิ ของสายพลังงานในไตรมาส 3 นี้ปรับตัวดีขึ้น”