เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ปรับรูปแบบองค์กรสร้าง Work-Life Balance ทำงานอย่างมีความสุขในยุค Post Covid-19
‘เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์’ เตรียมปรับองค์กรสร้าง Work-Life Balance รับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุค Post Covid-19 สร้างความสมดุลและความสุขในการทำงานและการใช้ชีวิต ชูนโยบายการทำงานได้ในทุกที่ (Work From Anywhere) ลดจำนวนการเข้าออฟฟิศ พร้อมเชิญกูรูดังร่วมให้ความรู้และสร้างแรงผลักดันในการทำงาน เพิ่มมาตรการสนับสนุนด้านสุขภาพ
นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ กล่าวว่า“ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุค Post Covid-19 รวมถึงการเข้าสู่ยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน อย่างสมบูรณ์แบบ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย ทั้งด้านธุรกิจ ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภครวมถึงรูปแบบการทำงานในออฟฟิศ ซึ่งหลังจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 หลายองค์กรมีการปรับนโยบายในการทำงานโดยคำนึกถึงความปลอดภัยด้านสุขอนามัย พร้อมทั้งยังช่วยสร้างความสมดุลในการทำงานและการใช้ชีวิตให้แก่พนักงาน
โดย เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ถือเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ได้เล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงได้นำกลยุทธ์“Lifetime Partner 24: Driving Growth” ที่มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาบุคลากรซึ่งเป็นหัวใจสำคัญขององค์กร มาปรับใช้ภายใต้แนวคิด “Future Ready” การพัฒนาบุคลากรให้พร้อมกับโลกอนาคต ด้วยการเพิ่มทักษะในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลให้กับพนักงานและตัวแทนจำหน่ายขององค์กร พร้อมทั้งปรับรูปแบบการทำงานWorkforce transformation ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อการทำงาน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสุขให้กับพนักงานได้อีกด้วย
ทางด้าน นางสาวสุภัทรา ปิวรบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคลและสนับสนุนองค์กร กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ กล่าวว่า “สำหรับรูปแบบการทำงานแบบ Effective Hybrid Workplace จะมุ่งเน้นการสร้าง Work-Life Balance ให้กับพนักงานทุกคนในองค์กร โดยแบ่งแนวทางออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ “Work From Anywhere” เปิดโอกาสให้พนักงานสามารถนั่งทำงานที่ไหนก็ได้เพราะเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีสามารถเชื่อมโยงการทำงานได้ทุกที่อย่างมีประสิทธิภาพ สลับกับการเข้าออฟฟิศแบบ 2-3 วัน ต่อสัปดาห์ หรืออาทิตย์เว้นอาทิตย์ เพื่อจัดการงานเอกสาร รวมถึงการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน โดยรูปแบบห้องทำงานจะถูกออกแบบในลักษณะ Hot Desk คือ การจัดการพื้นที่ภายในออฟฟิศใหม่ เน้นให้พนักงานใช้พื้นที่ส่วนกลางมากขึ้น เพื่อเพิ่มอิสระของพนักงาน ซึ่งการจัดที่นั่งในรูปแบบนี้ จะช่วยทำให้พนักงานรู้จักและมีปฏิสัมพันธ์กันมากยิ่งขึ้น เกิดการแลกเปลี่ยนความเห็นในการทำงาน เพิ่มความสามัคคีภายในองค์กร ที่สำคัญคือลดความแออัด และลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อโรคได้
แนวทางต่อมาคือเรื่องของการพัฒนาศักยภาพ และยกระดับทักษะของพนักงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เจนเนอราลี่ให้ความสำคัญมาโดยเสมอ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราได้นำแพลตฟอร์มการเรียนรู้ในรูปแบบออนไลน์อย่าง WeLEARN ซึ่งได้รวบรวมเอาหลักสูตรที่สำคัญและจำเป็นมาให้พนักงานเรียนรู้โดยเฉพาะทักษะทางด้านดิจิทัล (Digital skills) เพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน โดยพนักงานสามารถบริหารจัดการเวลาในการเรียนรู้เองได้และสามารถเรียนรู้ได้จากทุกที่ ทุกเวลานอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรม “Live Talk” ในหัวข้อต่างๆ ที่น่าสนใจเพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างองค์กรและพนักงาน โดยเชิญผู้ที่มีชื่อเสียงมาร่วมพูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้กับพนักงานผ่านทางออนไลน์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานและสร้างแนวคิดวิธีการทำงานในรูปแบบใหม่ ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับตนเองรวมไปถึงกิจกรรมการสื่อสารและอัพเดทความเป็นไปในองค์กรในรูปแบบออนไลน์ ได้แก่ Manager Forum และ Townhall Meeting ที่ทำให้ผู้บริหารและเพื่อนพนักงานทุกคนได้มาพบหน้า พูดคุย ทำกิจกรรมร่วมกันอีกด้วย
ต่อมาคือเรื่องสุขภาพถือเป็นเรื่องสำคัญของพนักงานออฟฟิศทุกคน โดยเฉพาะในยุคที่หลายคนหันมาให้ความสำคัญกับสุขอนามัยเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ จึงมีนโยบายสนับสนุนให้พนักงานมีสุขภาพที่ดี ด้วยการออกกำลังกาย รวมถึงการมอบสวัสดิการพิเศษในเทศกาลสำคัญ อย่างเช่น ในปีที่ผ่านมาที่พนักงานต้อง Work from home เจนเนอราลี่ได้ให้พนักงานสามารถแจ้งความประสงค์ขอรับอุปกรณ์ส่งเสริมด้านสุขภาพ เช่น เก้าอี้ทำงานเพื่อสุขภาพ รองเท้ากีฬา อุปกรณ์กีฬา เป็นต้น รวมถึงการจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิดแบบ Antigen Test Kit – ATK ให้กับพนักงานทุกคนได้ตรวจก่อนเข้ามาทำงานในสำนักงานในแต่ละสัปดาห์ เป็นต้น
“การใส่ใจสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่เจนเนอราลี่ให้สำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า เราเชื่อว่ารูปแบบการทำงานแบบ Hybrid Workplace จะทำให้พนักงานมีความเป็นอยู่และสุขภาพอนามัยที่ดี และสามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่พร้อมที่จะสร้างผลงานและความสำเร็จให้กับองค์กรภายใต้การรักษาสมดุลชีวิตทำงานและชีวิตส่วนตัวของพนักงานให้ลงตัว” นางสาวสุภัทรากล่าวทิ้งท้าย