เงินติดล้อ โชว์ผลงานสินเชื่อและนายหน้าประกันภัยเติบโตโดดเด่นทำกำไรสุทธิทั้งปี 3,169 ล้านบาท พุ่งขึ้น 31% ตอกย้ำต้นทุนทางการเงินและ NPL ต่ำบอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลทั้งเงินสดและหุ้นปันผล
บมจ.เงินติดล้อ โชว์ผลงานปี 2564 ทำกำไรสุทธิ 3,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากปีก่อนหน้า เติบโตแข็งแกร่งทั้งธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถและนายหน้าประกันภัย โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ที่ฟื้นตัวผลงานได้อย่างน่าประทับใจ หลังเปิดเมืองรวมทั้งการเปิดตัวประกันภัยรถผ่อน 0% สูงสุด 10 เดือน ที่ได้รับผลตอบรับดีเยี่ยม ส่วนต้นทุนทางการเงินและอัตรา NPL อยู่ในระดับต่ำ หนุนผลประกอบการทั้งปีโดดเด่น ด้านบอร์ดเคาะจ่ายเงินปันผลทั้งเงินสดและหุ้นปันผล
นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เปิดเผยว่า บริษัทฯ สามารถพลิกฟื้นผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2564 กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังจากเริ่มเปิดเมืองและผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ สะท้อนจากพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่ขยายตัวสูงถึง 9% จากไตรมาส 3 ในขณะที่ค่าเบี้ยประกันวินาศภัยเติบโตสูงถึง 60% จากไตรมาสก่อนหน้าเช่นเดียวกัน
พอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 61,500 ล้านบาท มาจากความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อเสริมสภาพคล่องและเตรียมความพร้อมขยายธุรกิจเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว และธุรกิจนายหน้าประกันภัยที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้รับการตอบรับที่ดีจากการให้ลูกค้าสามารถผ่อนชำระประกันภัยรถ 0% ด้วยเงินสด เป็นระยะเวลาสูงสุด 10 งวด จากเดิม 6 งวด และให้ความคุ้มครองทันทีเมื่อเริ่มจ่ายประกันงวดแรก ส่วนต้นทุนทางการเงินปรับลดลง หลังจากบริษัทฯ ได้รับการเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เป็นระดับ A แนวโน้มคงที่หรือ Stable เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินนโยบายพิจารณาสินเชื่ออย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพในการติดตามหนี้ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านเครดิต (Credit Cost) ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในขณะที่สามารถรักษาอัตรา NPL ให้อยู่ในระดับต่ำและลดลงอย่างต่อเนื่องเหลือ 1.19% จากไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 1.41% โดยอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพยังอยู่ในระดับสูงที่ 357%
ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2564 สามารถทำกำไรสุทธิ 3,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากปีก่อนหน้าในส่วนของพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถขยายตัวต่อเนื่องเติบโตที่ 20% ในปีที่ผ่านมา แตะ 61,500 ล้านบาท และ ค่าเบี้ยประกันวินาศภัยรวม 5,220 ล้านบาท เติบโตกว่า 30% จากปี 2563 และคงอันดับ 2 ของนายหน้าประกันวินาศภัยที่มุ่งเน้นรายย่อย สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทฯ จากการมุ่งขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์สินเชื่อและประกันภัย โดยบริษัทฯ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากการให้บริการ ‘บัตรติดล้อ เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าสินเชื่อจำนำทะเบียนรถสามารถกดเงินสดตามวงเงินที่ได้รับจากตู้เอทีเอ็มธนาคารพาณิชย์ชั้นนำทั่วประเทศเกือบ 40,000 ตู้ โดยณ สิ้นไตรมาส 4/2564 ได้ออกบัตรติดล้อไปแล้วเกือบ 300,000 ใบ รวมถึงการมีช่องทางให้บริการแก่ลูกค้าที่หลากหลาย (Omni-Channel) ทั้งแพลตฟอร์มดิจิทัลและสาขา ซึ่ง ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯ มีสาขาเปิดให้บริการรวมทั้งสิ้น 1,286 แห่ง เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มี 1,076 สาขา
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 จึงมีมติเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลที่อัตรา 0.559 บาทต่อหุ้น โดยจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.274 บาทและจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นสามัญของบริษัทในอัตรา 13 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 0.285 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ในกรณีมีที่ผู้ถือหุ้นรายใดมีเศษของหุ้นเดิมหลังการจัดสรรหุ้นปันผลแล้วให้จ่ายเป็นเงินสดแทนการจ่ายเป็นหุ้นปันผลในอัตราหุ้นละ 0.285 บาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 29 เมษายน 2565 นี้ และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 หลังจากได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นเป็นที่เรียบร้อย
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เงินติดล้อ หรือ TIDLOR กล่าวว่า แนวโน้มตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถคาดว่าจะมีอัตราเติบโตที่ดีกว่าปีก่อน ในขณะที่ความต้องการซื้อประกันภัยมีแนวโน้มดีขึ้นจากปี 2564 หลังจากรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้งรวมถึงการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศฟื้นตัว ทำให้มีความต้องการสินเชื่อเพื่อขยายธุรกิจและซื้อประกันภัยเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง
บริษัทฯ จึงวางเป้าหมายขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 300 แห่งเพื่อเพิ่มช่องทางเข้าถึงการให้บริการแก่ลูกค้า และมุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้บริการแก่ลูกค้า