สัมมนาวิชาการด้านประกันภัย ประจำปี 2566 ของสำนักงาน คปภ. “Thailand Insurance Symposium 2023” เปิดเวทีเสนอผลงานทางวิชาการ ชูประกันภัยคาร์บอนเครดิตช่วยบริหารความเสี่ยงสภาวะโลกร้อน พร้อมเปิดผลงานวิจัย “แอปตรวจจับการฉ้อฉลขายประกันภัย”
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดเวทีสัมมนาวิชาการด้านการประกันภัย ประจำปี พ.ศ. 2566 หรือThailand Insurance Symposium 2023 ภายใต้แนวคิด “Enhancing Insurance Sustainability through Digital Transformation Landscape” จัดโดยสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง สำนักงานคปภ. เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2566 ณ ห้องประชุมวิภาวดีบอลรูม C โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว กรุงเทพฯ ซึ่งจัดในรูปแบบ hybrid มีผู้เข้าร่วมประชุมในห้องประชุม (on ground) คู่ขนานกับผู้เข้าร่วมประชุมผ่านระบบสื่อสารทางไกล (online) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการประชุมสัมมนาได้รับความรู้ความเข้าใจในเรื่องการประกันภัย การบริหารความเสี่ยง ผลิตภัณฑ์ประกันภัย นวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ จากสภาวการณ์ของธุรกิจประกันภัยในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตอีกทั้งผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับฟังการถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านการประกันภัย การบริหารความเสี่ยง และสภาวการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมประกันภัย รวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้เข้าร่วมสัมมนากับวิทยากร และระหว่างผู้เข้าร่วมสัมมนาด้วยกัน ตลอดจนนำองค์ความรู้ที่ได้ไปพัฒนาระบบประกันภัย และประยุกต์ใช้ในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษตอนหนึ่งว่า เรื่องของ ESG (Environmental Social and Governance) ไม่ใช่แค่ประเด็นที่เอามาพูดคุยตามสมัยนิยม แต่เป็นเป้าหมายหลักที่ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ต้องบูรณาการร่วมกันและผลักดันให้เกิดขึ้น สำนักงาน คปภ. ในฐานะเป็นหน่วยงานกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย มีความตั้งใจและตระหนักถึงความสำคัญของการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมประกันภัย โดยในแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2564 - พ.ศ. 2568) และแผนยุทธศาสตร์สำนักงาน คปภ. ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2567 - พ.ศ. 2569) ให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในบริบทต่างๆ เพื่อให้การกำกับดูแลและส่งเสริมภาคธุรกิจประกันภัยมีความมั่นคง ยั่งยืน (Sustainability) และแข่งขันได้ในเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล (Digital Economy) ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยภาครัฐภาคเอกชนและประชาชนสามารถเข้าถึงการประกันภัยและใช้ประโยชน์ในการรองรับความเสี่ยงได้ โดยมี 6 ปัจจัยหลัก คือ
ปัจจัยแรก สนับสนุนให้นำเทคโนโลยีมาใช้ให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย รวมถึงลดกระบวนการทำงาน เช่น กระบวนการตรวจสอบตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ปรับกระบวนการดำเนินธุรกิจให้เป็นระบบอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น เช่น การส่งมอบกรมธรรม์ให้กับผู้เอาประกันภัยในรูปแบบของ e-Policy การใช้เทคโนโลยี Blockchain ในกระบวนการเก็บข้อมูลการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนและการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในกระบวนการทำงาน เป็นต้น โดยในส่วนของสำนักงาน คปภ. ได้มีการศึกษาและปรับปรุงกฎระเบียบหรือหลักเกณฑ์การกำกับดูแล เพื่อให้สอดคล้องกับผลการทดสอบใน Insurance Regulatory Sandbox เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจใช้เทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจ มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแล (RegTech) ขยายบทบาทของCenter of InsurTech (CIT) ให้เป็น One Stop Service ด้านการประกันภัย เพื่อเป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำให้แก่บริษัทประกันภัย และ Startup ในทุกมิติ (Capacity Center) และยังสนับสนุนให้ Startup สามารถเข้าสู่ตลาดประกันภัย
ปัจจัยที่ 2 ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและทัศนคติของประชาชนและภาคเอกชนให้ตระหนักถึงความจำเป็นของการประกันภัย ด้วยการผลักดันหลักสูตรเกี่ยวกับการประกันภัยเข้าสู่ระบบศึกษาทุกช่วงชั้นและผลักดันให้มีกิจกรรมการศึกษานอกห้องเรียนของเยาวชน นักเรียน หรือนักศึกษา มีการนำเทคโนโลยี เครื่องมือ และวิธีการใหม่ ๆ ในการให้ความรู้สู่ประชาชนและภาคเอกชนแต่ละกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่ 3 ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจฟื้นตัวจากภาวะวิกฤต โดยมุ่งเน้นว่าการประกันภัยไม่ใช่เพียงการชดเชยความเสียหายเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันความเสียหาย โดยมีผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจ ที่เน้นการคุ้มครองทรัพย์สิน ความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก หรือการสูญเสียรายได้ การที่ธุรกิจมีแผนประกันภัยที่เหมาะสมช่วยให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก รวมทั้งการพัฒนากลไกและสร้างเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาและการให้ความช่วยเหลือบริษัทประกันภัย (Resolution Mechanism) และนโยบายและกระบวนการในการบริหารภาวะวิกฤต (Crisis Management)
ปัจจัยที่ 4 ยกระดับพฤติกรรมทางการตลาด (Market Conduct) ของคนกลางประกันภัย โดยส่งเสริมการปรับเปลี่ยนบทบาทของคนกลางประกันภัยจากการเสนอขาย เป็นการให้ข้อมูลที่ครบถ้วน วิเคราะห์ความเสี่ยงและความต้องการของลูกค้า โดยนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสนับสนุนกระบวนการเสนอขาย
ปัจจัยที่ 5 ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับให้เท่าทันกับความเสี่ยงใหม่ ๆ ปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับแนวทางการกำกับดูแลตามมาตรฐานสากล ประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายและทบทวนกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน ให้มีเท่าที่จำเป็น มีความทันสมัยสอดคล้องกับเทคโนโลยีสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปและเป็นไปตามมาตรฐานสากล (Regulatory Guillotine) ศึกษาและจัดทำแนวปฏิบัติสำหรับการทำ Regulatory Impact Assessment (RIA) รวมทั้งเริ่มใช้กระบวนการRegulatory Impact Assessment (RIA) ในการออกกฎหมาย ศึกษาและหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน ก.ล.ต. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำแนวทาง การพัฒนาภาคการเงินเพื่อความยั่งยืน(Sustainable Finance Initiatives for Thailand)
ปัจจัยที่ 6 สร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจประกันภัยด้วยการส่งเสริมให้มีการดำเนินธุรกิจและการลงทุนที่สะท้อนแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance : ESG) อย่างเป็นรูปธรรม และเพื่อให้ระบบประกันภัยเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล ใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณารับประกันภัย ศึกษามาตรการจูงใจให้บริษัทประกันภัยดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับหลักการ ESG เช่น มาตรการทางภาษี และมอบรางวัลแก่บริษัทประกันภัยที่ดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG อีกทั้งยังส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัยมีการลงทุนที่คำนึงถึงความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า สำนักงาน คปภ. มุ่งมั่นยกระดับงานด้านวิชาการประกันภัย โดยมีสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) เป็นศูนย์กลางการพัฒนาความรู้ จริยธรรม และเพิ่มทักษะด้านการประกันภัยระดับสูง ให้แก่บุคลากรประกันภัยทุกฝ่ายให้สามารถปฏิบัติงานแบบมืออาชีพ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้บุคลากรประกันภัยและประชาชนทั่วไปสามารถใช้ประโยชน์ในการเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ ค้นคว้าข้อมูลด้านการประกันภัย นอกจากนี้ยังมีการประสานความร่วมมือทางวิชาการกับหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยต่างประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ อีกทั้งส่งเสริมงานวิจัยด้านการประกันภัย เผยแพร่องค์ความรู้ ตลอดจนพัฒนาหลักสูตรสำหรับผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนและบุคลากรในสำนักงาน คปภ. เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของประกันภัยในมิติต่าง ๆโดยได้จัดทำหลักสูตรสุดยอดผู้นำวิทยาการประกันภัยระดับสูง (Super วปส.) (Thailand Insurance Super Leadership Program) และปรับปรุงหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) (Thailand Insurance Leadership Program) อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนจัดทำหลักสูตรการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย เป็นต้น
หลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) นอกจากจะมีการฟังบรรยายการแลกเปลี่ยนแนวคิดและทัศนคติจากวิทยากรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยแล้ว ยังกำหนดให้มีการจัดทำรายงานการศึกษากลุ่ม ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมจะต้องเลือกประเด็นที่น่าสนใจและมีประโยชน์สามารถนำไปประยุกต์และต่อยอดเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยได้
สำหรับผลงานทางวิชาการของนักศึกษาหลักสูตร วปส. รุ่น 11 ที่มีการนำเสนอในเวทีสัมมนาวิชาการครั้งนี้ คือ ผลงานที่ได้รับรางวัลระดับ “ดีเด่น” เรื่อง “แนวทางสำหรับภาครัฐเพื่อนำระบบประกันภัยมาใช้บริหารความเสี่ยงจากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ Net Zero Emission” ซึ่งชูประเด็นการส่งเสริมให้มีการนำระบบประกันภัยมาใช้ในการบริหารจัดการความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยคาร์บอนเครดิตให้เหมาะสมรองรับกับระบบนิเวศของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ Net Zero Emission โดยได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.ฐิติวดีชัยวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้วิพากษ์ผลงานรวมทั้งยังมีการนำเสนอผลงานที่ได้รับรางวัลระดับ “ดี” เรื่อง “การใช้ปัญญาประดิษฐ์เพิ่มประสิทธิภาพระบบคุ้มครองสิทธิผู้ทำประกัน ด้านการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์” โดยเป็นการนำเอาApplication “ช่วย ชด เชย” มาช่วยในเรื่องการพิจารณาค่าสินไหมทดแทนค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ให้มีกระบวนการที่เป็นธรรม และเป็นมาตรฐาน รวมทั้งสร้างการรับรู้และเข้าถึงการเยียวยาด้านค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถอย่างสมเหตุสมผลและเกิดความพึงพอใจจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร.ปิยวดีโขวิฑูรกิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สายงานบริหารความเสี่ยงและการปฏิบัติตามกฎหมาย บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้วิพากษ์ผลงาน นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอผลงานวิจัย ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงาน คปภ. เรื่อง “โครงการ InsurTech : แพลตฟอร์มส่งเสริมและตรวจสอบการซื้อขายการประกันภัยเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน” โดย ผศ.ดร.ณัฐกรณ์ ผิวชื่น มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นการพัฒนาแอปตรวจจับเสียงของผู้ที่ขายประกันภัยว่ามีการนำเสนอขายที่ฉ้อฉล หลอกลวงหรือผิดปกติหรือไม่
“การจัดงานสัมมนาวิชาการด้านการประกันภัยปีนี้ได้รับความสำเร็จเกินความคาดหมาย มีการนำเสนองานวิชาการเด่น ๆ ตลอดจนงานวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงาน คปภ. ซึ่งเป็นนวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยล่าสุด ทั้งยังมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งในและต่างประเทศมานำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาระบบประกันภัย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องการเชื่อมโยงระหว่างดิจิทัลกับความยั่งยืน ซึ่งสำนักงาน คปภ. เชื่อว่าดิจิทัลเทคโนโลยีจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมประกันภัยของไทยสามารถก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ในโอกาสนี้ ขอแสดงความยินดีกับผลงานวิชาการที่ได้รับรางวัล ซึ่งสำนักงาน คปภ. จะนำผลงานดังกล่าวไปเผยแพร่และต่อยอดขยายผลเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย