ผถห. SFLEX ไฟเขียวจ่ายปันผลครึ่งหลังปี 64 อัตรา 0.045 บ./หุ้นปักหมุดรายได้ปีนี้ทะยานแตะ 1,800 ลบ.เดินหน้าขยายกำลังผลิตเพิ่มแตะ 265 ล้านม./ปี เน้นกลยุทธ์รับงานมาร์จิ้นสูง
ผู้ถือหุ้นบมจ.สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) ไฟเขียวรับมติจ่ายเงินปันผลงวดปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.045 บาท เตรียมรับทรัพย์ วันที่ 6 พฤษภาคมนี้ ฟากซีอีโอ “สมโภชน์ วัลยะเสวี” แย้มโรงงานใหม่ใกล้เสร็จแล้ว ดันกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 265 ล้านเมตรต่อปี หนุนรายได้ปี 65 ทะยานแตะ 1,800 ล้านบาท เดินหน้ากลยุทธ์รุกตลาดรุกผลิตภัณฑ์อาหาร (Food) และการแพทย์ (Medical) เน้นงานมาร์จิ้นสูงเต็มพิกัดมุ่งสร้างความยั่งยืนของอัตรากำไรขั้นต้นให้เติบโตแข็งแกร่ง
ดร.สมโภชน์ วัลยะเสวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (SFLEX) ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนชั้นนำในประเทศ เปิดเผยว่าที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี2565 ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลงวดปี 2564 เป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.045 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 36.9 ล้านบาท โดยกำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่จะมีชื่อปรากฎ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น(Record Date) ในวันที่ 19 เมษายน 2565 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 พฤษภาคม 2565
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่30 มิถุนายน 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.04 บาท รวมเป็นเงิน 32.8 ล้านบาท ส่งผลทำให้ ทั้งปีบริษัทฯ จ่ายเงินปันผลรวม 0.085 บาทต่อหุ้น ณ มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท/หุ้น
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจ ในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้โตแบบ Organic growth จากธุรกิจหลักเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 1,760 – 1,800 ล้านบาท จากการขยายกำลังการผลิตของโรงงานแห่งใหม่ โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิตจะค่อยๆเพิ่มขึ้นจนถึง 265 ล้านเมตรต่อปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 180 ล้านเมตรต่อปี พร้อมกันนี้ยังได้ขยายตลาดเชิงรุกไปยังผลิตภัณฑ์อาหาร (Food) และผลิตภัณท์ทางการแพทย์ (Medical) ให้มากยิ่งขึ้น ประกอบกับการมุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพเน้นงานกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูง
“ความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานส่วนขยายแล้วเสร็จไปกว่า 90% คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ปีนี้ และจากยุบรวมการผลิตไว้ที่โรงงานหลักแห่งเดียว จะส่งผลทำให้ต้นทุนลดลง และอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้น”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวถึงความคืบหน้าการร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทในเครือไทยยูเนี่ยน คาดว่าจะเริ่มประกอบธุรกิจเชิงพาณิชย์ ในปี 2566 ส่วนการลงทุนในประเทศเวียดนาม มีการปรับวิธีการและเงื่อนไขการลงทุน เพื่อยกระดับการลงทุนลดความเสี่ยง และสร้างความยั่งยืน ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 3 ปีนี้อย่างแน่นอน