ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง NCP ขาย IPO 50 ล้านหุ้น ระดมทุนเข้า mai
ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง บมจ. ไนซ์ คอล (NCP) เตรียมเสนอขายไอพีโอ จำนวน 50 ล้านหุ้น เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ระดมทุนเสริมแกร่งธุรกิจ เพื่อต่อยอดการเติบโตในอนาคต ตอกย้ำผู้นำในธุรกิจขายสินค้าทางโทรศัพท์ (Telesales) ของประเทศ
นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ไนซ์ คอล จำกัด (มหาชน) หรือNCP เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือไฟลิ่ง เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) จำนวน 50,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 27.78 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจบริการ (SERVICE) ภายในปี 2567
ทั้งนี้ NCP เป็นผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้า และให้บริการทำการตลาดแบบตรง (Direct Marketing) ผ่านช่องทางการขายสินค้าทางโทรศัพท์ (Telesales) ที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ความสวยงาม และสินค้าเวชสำอาง ก่อตั้งโดย นายศรัณย์ เวชสุภาพร ผู้มีประสบการณ์การดำเนินงานด้านการทำการตลาดแบบตรง (Direct Marketing) มามากกว่า 20 ปี และเป็นนายกสมาคมการค้าธุรกิจศูนย์บริการทางโทรศัพท์ไทย (Thai Contact Center Association) หรือ TCCTA
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทฯ จะนำไปก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ จำนวน 30 ล้านบาท, ก่อสร้างสถานที่ทำงานในเรือนจำ จำนวน 10 ล้านบาท, พัฒนาระบบเทคโนโลยีซอฟต์แวร์สำหรับธุรกิจใหม่และพัฒนาระบบเครือข่ายเพื่อรองรับการเพิ่มจำนวนพนักงาน จำนวน 5 ล้านบาท และใช้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ จำนวน 55 ล้านบาท
ด้าน นายศรัณย์ เวชสุภาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไนซ์ คอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCP กล่าวถึงเป้าหมายของการระดมทุนเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ครั้งนี้ ว่า เป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง เพิ่มโอกาสในการเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยเฉพาะการลงทุนโครงการในอนาคต รวมถึงมีเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ รองรับการขยายธุรกิจขายสินค้าทางโทรศัพท์ (Telesales) ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งนี้ จุดเด่นของ NCP อยู่ที่ความเชี่ยวชาญในธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้า และให้บริการทำการตลาดแบบตรง (Direct Marketing) ผ่านช่องทางการขายสินค้าทางโทรศัพท์ (Telesales) ที่มีระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management) หรือ CRM ของตัวเอง, มีระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลผ่านกฎหมาย PDPA, มีฐานข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าแต่ละรายที่สามารถนำไปต่อยอดและร่วมวาง กลยุทธ์การขายสินค้ากับคู่ค้าพันธมิตร การนำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการขยายขอบเขตการทำธุรกิจต่อยอดจากความเชี่ยวชาญเดิมในการให้บริการเพิ่มยอดขายสินค้าจากการขายครั้งแรก (Upselling Service) เพื่อติดต่อลูกค้าและนำเสนอการขายสินค้าเพิ่มเติม ติดตามการขาย และผลักดันยอดการสั่งซื้อ ผ่านการนำเสนอโปรโมชั่นต่างๆ ที่วางกลยุทธ์ร่วมกับคู่ค้าพันธมิตร และการให้บริการบริหารพนักงานขาย (Dedicated Telesale Outsourcing) ซึ่งเป็นการจัดหาทีมขายสินค้าทางโทรศัพท์ (Telesales)เฉพาะเจาะจงให้กับเจ้าของสินค้ารายต่างๆ รวมถึงการให้บริการแบบครบวงจร ครอบคลุมถึงการจัดการระบบคลังสินค้า การจัดส่ง การเก็บเงิน การวางแผนแนวทางนโยบายการขายสินค้าผ่านการวิเคราะห์การสั่งในอดีตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำร่วมกับการนำเสนอสินค้าใหม่ๆ ที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอาจมีความสนใจ ทำให้บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจการขายผ่านโทรศัพท์ (Telemarketing) ที่ดำเนินการให้กับคู่ค้าพันธมิตร นอกเหนือจากการขายสินค้าของบริษัท (House Brand) เพียงอย่างเดียว โดยมีกลุ่มฐานข้อมูลลูกค้าเป้าหมายของบริษัทมากกว่า 5 ล้านรายชื่อ ช่วยสนับสนุนในการทำการขายสินค้าให้กับคู่ค้าพันธมิตร และมีพนักงานขายสินค้าทางโทรศัพท์ (Telesales) มากกว่า 163 คน ประกอบด้วย พนักงานประจำ 68 คน และผู้ต้องขัง 95 คน ซึ่งเป็นผู้ต้องขังหญิงที่บริษัทฯ ไปฝึกอาชีพและเสริมทักษะการทำงานประเภทการขายทางโทรศัพท์ ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการคืนคนดีสู่สังคม กับกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีคู่ค้าพันธมิตรที่ขายสินค้าผ่านช่องทางการขายของบริษัทฯ มากกว่า 67 ราย มีผลิตภัณฑ์สินค้าที่จัดจำหน่าย มากกว่า 90 แบรนด์ 446 รายการ แบ่งกลุ่มสินค้าหลัก เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ 2) กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อความงาม และ 3) กลุ่มสินค้าเวชสำอาง นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเอง (House Brand) ภายใต้แบรนด์สินค้า “BN” ที่มีสินค้าออกจำหน่ายแล้ว 21 ผลิตภัณฑ์
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงปี2564-2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 191.23 ล้านบาท 181.03 ล้านบาท และ 173.11 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 25.56 ล้านบาท 20.22 ล้านบาท และ 12.53 ล้านบาท ตามลำดับ โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิได้เท่ากับร้อยละ 13.25 ร้อยละ 11.11 และร้อยละ 7.24 ตามลำดับ