ก.ล.ต.ไฟเขียว นับหนึ่งไฟลิ่ง กองทรัสต์ WHART เพิ่มทุนครั้งที่ 8เล็งขยายอาณาจักรลงทุนคลังสินค้าระดับ World-Class มูลค่า 3,566.49 ล้านบาท

ก.ล.ต.ไฟเขียว นับหนึ่งไฟลิ่ง กองทรัสต์ WHART เพิ่มทุนครั้งที่ 8เล็งขยายอาณาจักรลงทุนคลังสินค้าระดับ World-Class มูลค่า 3,566.49 ล้านบาท

กรุงเทพฯ – กองทรัสต์ WHART ลุยขยายการลงทุนต่อเนื่อง ล่าสุดก.ล.ต.ไฟเขียวนับหนึ่ง Filing สำหรับการเพิ่มทุนครั้งที่ 8 เพื่อลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งที่ 9 มูลค่าไม่เกิน 3,566.49 ล้านบาท ตอกย้ำการเป็นกองทรัสต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการมากกว่า 1.74 ล้านตารางเมตรลงทุนในทำเลยุทธศาสตร์การขนส่งสินค้าของประเทศไทย และมีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ด้านผู้จัดการกองทรัสต์ “อนุวัฒน์ จารุกรสกุล” มั่นใจทรัพย์สินที่เสนอขายครั้งนี้ เป็นคลังสินค้าระดับ World-Class สามารถสร้างโอกาสและผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว พร้อมหนุนมูลค่าทรัพย์สินรวม หลังลงทุนเพิ่มแตะ 55,238.27 ล้านบาท

นายอนุวัฒน์ จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ เรียล เอสเตท แมเนจเม้นท์ จำกัดในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (กองทรัสต์ WHART) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ผู้จัดการกองทรัสต์ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเสนอขายหน่วยทรัสต์ สำหรับการเพิ่มทุนครั้งที่ 8 จำนวนไม่เกิน 280 ล้านหน่วยเพื่อลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งที่ 9 มูลค่าไม่เกิน 3,566.49 ล้านบาท  ล่าสุดทางสำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่ง Filing เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะสามารถเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนได้แล้วเสร็จภายในช่วงปลายปี 2566 นี้

สำหรับทรัพย์สินที่กองทรัสต์ WHART จะเข้าลงทุนในครั้งนี้ เป็นการลงทุนในทรัพย์สินคุณภาพสูงของกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group แบ่งเป็นพื้นที่เช่าอาคารประเภทคลังสินค้า ประมาณ 142,896.00 ตารางเมตร และพื้นที่เช่าส่วนหลังคาของอาคารคลังสินค้าประมาณ 36,466.00 ตารางเมตร โดยแต่ละโครงการเป็นโครงการคลังสินค้าประเภท Built-to-Suit และGeneral Warehouse ในทำเลศักยภาพที่เป็นจุดเชื่อมต่อด้านการขนส่งสินค้าของประเทศทั้งในบริเวณบางนา-ตราด และพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นทำเลที่สามารถเชื่อมต่อ         ทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ ท่าเรือแหลมฉบัง และถนนสายหลักซึ่งทำให้การขนส่งและการกระจายสินค้ามีประสิทธิภาพทั้งในด้านของระยะเวลาและต้นทุน ทั้งนี้พื้นที่ทั้งสองทำเลดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่กองทรัสต์ WHART ได้เข้าลงทุนอย่างต่อเนื่องและมีผลการดำเนินงานในด้านอัตราการเช่าเฉลี่ย (Average Occupancy Rate) ที่ดีมาโดยตลอด

โดยทรัพย์สินที่จะเข้าไปลงทุนจำนวน 3 โครงการ มูลค่าไม่เกิน 3,566.49 ล้านบาท ประกอบด้วย

1. โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21

2. โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง โปรเจค 1  

3. โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ บางนา-ตราด กม.23 โปรเจค 3

หนึ่งในอาคารคลังสินค้าที่ได้เข้าลงทุนในปีนี้เป็นอาคารที่ถูกออกแบบและก่อสร้างขึ้นตามมาตรฐานอาคารสีเขียวของ LEED Gold (Leadership in Energy & Environmental Design) ซึ่งมุ่งเน้นการคัดสรรวัสดุและการใช้นวัตกรรมการออกแบบที่อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และยังเป็นอาคารที่มีการติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อช่วยให้ผู้เช่ารายย่อยประหยัดพลังงาน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งผลให้ผู้เช่าอาคารดังกล่าวได้รับประโยชน์โดยตรงจากการใช้อาคารอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ซึ่งตรงกับนโยบายในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของกองทรัสต์ฯโดยใน 5 ปีที่ผ่านมา กองทรัสต์ฯ เองได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลจากสถาบันไทยพัฒน์

นอกจากนี้ กองทรัสต์ WHART ยังจะได้ผู้เช่าอาคารคลังสินค้าที่มีศักยภาพ ทั้งในด้าน branding และอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มั่นคงอย่างกลุ่มผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (Third Party Logistics) และกลุ่มผู้ผลิต (Manufacturer) ซึ่งการได้ผู้เช่าที่ดีในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ จะทำให้กองทรัสต์เองมีการรับรู้รายได้จากการลงทุนที่มั่นคงและสร้างประโยชน์ตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ โดยภายหลังจากการเข้าลงทุนครั้งนี้ กองทรัสต์คาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาว (Internal Rate of Return) อยู่ในระดับที่ประมาณร้อยละ 9.80

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กองทรัสต์ WHART กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักในครั้งนี้ จะส่งผลให้กองทรัสต์ WHART มีมูลค่าทรัพย์สินรวม แตะที่ระดับประมาณ 55,238.27 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นกองทรัสต์ที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวมมากที่สุดในประเทศ มีพื้นที่เช่าภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.89 ล้านตารางเมตร พื้นที่เช่าหลังคา 487,243.29 ตารางเมตร ซึ่งเป็นอาคารคลังสินค้าศูนย์กระจายสินค้า และอาคารโรงงาน ที่พัฒนาขึ้นตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) และแบบสำเร็จรูป (General Warehouse) ในทำเลที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ

การที่กองทรัสต์ WHART มีการขยายขนาดกองทรัสต์จากการลงทุนเพิ่มเติมในทุกปี นับตั้งแต่ก่อตั้งกองทรัสต์ ทำให้กองทรัสต์ฯ มีความมั่นคงทางรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีการกระจายความเสี่ยงในมิติต่างๆ ที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะในด้านของทำเลทรัพย์สินที่ลงทุน สัญชาติของผู้เช่า รวมถึงความหลากหลายของกลุ่มธุรกิจของผู้เช่า (Business Sector) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการของกองทรัสต์ WHART อยู่ในระดับที่ดีทั้งในด้านการเติบโตของรายได้และอัตราการเช่าเฉลี่ย (Average Occupancy Rate) ที่สูง อีกทั้งยังสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่มั่นคงแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์อย่างสม่ำเสมอ

กองทรัสต์ WHART ได้มีการจ่ายประโยชน์ตอบแทนที่มั่นคงแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์มาโดยตลอดแม้ในช่วงของการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยในรอบปี 2565 กองทรัสต์ฯ ได้จ่ายประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยในอัตราประมาณ 0.76 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นอัตราจ่ายที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ได้มีการก่อตั้งกองทรัสต์ สำหรับภายหลังจากการเข้าลงทุนในทรัพย์สินหลักเพิ่มเติมครั้งที่ 9 ในปีนี้ กองทรัสต์ฯ ได้ประมาณการจ่ายประโยชน์ตอบแทนต่อหน่วยแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เท่ากับ 0.79 บาทต่อหน่วย สำหรับรอบประมาณการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567  

ข่าวเกี่ยวข้อง