ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง “FTI” ขายไอพีโอ 130 ล้านหุ้นระดมทุนเข้า SET นำเงินขยายตัวแทนจำหน่าย -เพิ่มกำลังผลิตประกอบ -ปรับปรุงคลังสินค้า

ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง “FTI” ขายไอพีโอ 130 ล้านหุ้นระดมทุนเข้า SET นำเงินขยายตัวแทนจำหน่าย -เพิ่มกำลังผลิตประกอบ -ปรับปรุงคลังสินค้า

ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง บมจ. ฟังก์ชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล (FTI) เตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 130 ล้านหุ้น เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ปีนี้ ระดมทุนรองรับการขยายตัวแทนจำหน่ายร้าน“Aquatek” และ “Water Store” ขยายกำลังการผลิตประกอบ ปรับปรุงคลังสินค้า และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนต่อยอดธุรกิจในอนาคต พร้อมเพิ่มศักยภาพการเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำอย่างครบวงจรทั้งในประเทศ และภูมิภาคอาเซียน  ภายใต้แบรนด์สินค้าทั้งหมดจำนวน 23 แบรนด์

นายวิชา โตมานะ   กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ  บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท ฟังก์ชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ FTI ประกอบธุรกิจนำเข้า ประกอบผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำ (Water Treatment) ครบวงจร เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

โดย FTI จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 130 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)  1 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน  28.89 % ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ และอยู่ระหว่างเตรียมพร้อมเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)ในปีนี้

FTI ประกอบธุรกิจนำเข้า ประกอบผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำ (Water Treatment) ครบวงจร ได้แก่ เครื่องกรองน้ำ ไส้กรอง สารกรอง ปั๊มและวาล์ว ตลอดจนอุปกรณ์สำหรับเครื่องกรองน้ำ รวมถึงการให้บริการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งครอบคลุมฐานผู้บริโภคสินค้ากลุ่มหลักทุกกลุ่ม ได้แก่ผู้บริโภคในครัวเรือน  กลุ่มใช้เชิงพาณิชย์ และกลุ่มอุตสาหกรรม

สำหรับวัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้  เพื่อเตรียมนำเงินไปใช้ในการขยายตัวแทนจำหน่ายภายในปี 2565-2567 ได้แก่ การขยายร้าน Aquatek จำนวน 50 สาขา ,ขยายร้าน Water Store จำนวน5 สาขา ,เพื่อใช้ในการตกแต่งอาคารจัดแสดงสินค้าและจัดจำหน่ายสินค้าใหม่ และใช้ในการปรับปรุงอาคารคลังสินค้า ในปี 2565-2566 ได้แก่ ปรับปรุงขยายพื้นที่คลังสินค้าและลงทุนในระบบการจัดการคลังสินค้า และติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ รวมถึงใช้ในการขยายกำลังการผลิตประกอบ ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

ดร.วิกร ภูวพัชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท ฟังก์ชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ FTI เปิดเผยว่า เป้าหมายของการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในครั้งนี้ เพื่อสร้างการเติบโตและโอกาสในการขยายธุรกิจให้มีความแข็งแกร่ง นำพาองค์กรเดินไปข้างหน้าด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญมุ่งมั่นทุ่มเท และให้บริการที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้าได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ

สำหรับจุดเด่นของ FTI คือ เป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำอย่างครบวงจรทั้งในประเทศและในภูมิภาคอาเซียน  ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ ทั้งหมดจำนวน 23 แบรนด์ เพื่อสร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และรองรับความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม  โดยได้ขยายฐานผู้บริโภคครอบคลุมทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ลาว พม่า และกัมพูชา โดยผ่านร้านค้าและผู้จัดจำหน่ายกว่า 600 ราย   ซึ่งเป็นผู้ขายสินค้าของบริษัทให้ร้านค้าขนาดเล็กหรือขายปลีกให้ผู้บริโภคคนสุดท้าย (End User) ที่เป็นฐานลูกค้าหลักของบริษัท  

ที่ผ่านมา FTI ได้พัฒนาผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของร้าน Water Store เพื่อสร้างจุดขายเฉพาะผลิตภัณฑ์และตราสินค้าของบริษัทเท่านั้น  ทำให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของผู้บริโภคกลุ่มครัวเรือนที่ให้ความสำคัญกับการบริโภคน้ำที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง  จึงมีแผนขยายตัวแทนจำหน่ายโดยมุ่งเน้นการขยายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มตลาดบนที่บริษัทประเมินว่ายังมีศักยภาพในการเติบโต ภายใต้ร้าน Aquatek ซึ่งได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทภายใต้แบรนด์ Aquatek โดยเฉพาะ  ล่าสุดได้เปิดร้าน Aquatek Shop แห่งแรก สาขาสวนสยาม และในอนาคตมีแผนธุรกิจที่จะพัฒนาการดำเนินงานของบริษัท โดยจะขยายธุรกิจทั้งในด้านฐานลูกค้า กำลังการผลิต และประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงฐานผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 450 ล้านบาท แบ่งเป็น 450 ล้านหุ้น โดยเป็นทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 320 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 320 ล้านหุ้น บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักสำรองตามกฎหมายในแต่ละปี

ข่าวเกี่ยวข้อง