UAC โชว์ผลงาน Q1/67 ธุรกิจ Petroleum-Energy หนุนรายได้แตะ 500 ลบ.เปิดเกมรุก COD โรงไฟฟ้าภูผาม่าน Generator2- RDF3 ที่อินโดนีเซีย ในปีนี้ หวังสร้างมูลค่าเพิ่ม
กรุงเทพฯ - บมจ.ยูเอซี โกลบอล ( UAC ) ประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2567 มีรายได้ จากการขายและบริการ 468.09ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.51% (YoY) และมีรายได้อื่นๆ 31.53 ล้านบาท ขณะที่กำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้น ของบริษัท และ EBITDA จำนวน 60.40 ล้านบาท และ 121.44 ล้านบาท ตามลำดับ จากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจ Petroleum และ Energy หนุนรายได้ไตรมาสแรกเข้าเป้า เดินหน้าโครงการผลิต และจำหน่าย RDF3 ของ PT Cahaya Yasa Cipta (CYC) คาดเปิด CODภายในปี 2567
บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ “UAC” รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2567 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 468.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.51% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) ) จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในกลุ่มธุรกิจ Manufacturing - Petroleum และกลุ่มธุรกิจ Manufacturing - Energy ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการขายและบริหารเพิ่มขึ้น จากการขยายตัวทางธุรกิจของบริษัทและบริษัทย่อย ส่งผลให้มีกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท และ EBITDA จำนวน 60.40 ล้านบาท และ 121.44 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมอย่างต่อเนื่อง จำนวน 21.14 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพคล่องกระแสเงินสด โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 มีกระแสเงินสดในมือ จำนวน 236.04 ล้านบาท และอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) ที่ 1.06 เท่า ซึ่งเป็นไปตามกรอบนโยบายทางการเงินของบริษัทฯ ที่ไม่เกิน 2 เท่า
นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ “UAC” เปิดเผยว่า ปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2567 เติบโตต่อเนื่อง มาจากการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นของ ธุรกิจ Manufacturing – Petroleum ที่มีรายได้รวม 55.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,447.75% (YoY) เนื่องจากปัจจุบันบริษัทฯ ผลิตน้ำมันดิบได้ที่ระดับ 230 - 255 BPD หลังจากการติดตั้ง Beam Pump เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต พร้อมเดินหน้าเตรียมจัดหา Beam Pump เพิ่มอีก 1 ชุด ภายในไตรมาส 3/2567 ทั้งนี้ เพื่อรักษาระดับการผลิตให้ได้ 250 - 300 BPDตามเป้าหมายที่วางไว้
ขณะที่ธุรกิจ Manufacturing – Energy มีรายได้รวม 50.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.39%(YoY) จากการดำเนินงานโครงการโรงไฟฟ้าพืชพลังงานแม่แตง จ.เชียงใหม่ และโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่สมุทรปราการ และสุราษฎร์ธานี ที่ดำเนินการผลิตไฟฟ้าได้ตามแผนที่วางไว้ ขณะที่โรงไฟฟ้าพืชพลังงาน ภูผาม่าน สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 60% ของกำลังผลิตไฟฟ้า 1.5 MW.
และโรงงานผลิต RDF3 ที่นครเวียงจันทน์ยังสามารถจำหน่าย RDF3 ให้กับโรงปูน KCL ได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่โรงงาน PPP มีรายได้ลดลงจากการซ่อมบำรุงเครื่องจักร และมีวัตถุดิบไม่เพียงพอต่อการผลิต
ส่วนธุรกิจ Trading มีรายได้รวม 361.70 ล้านบาท ลดลง 0.55% (YoY) โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายสินค้าในกลุ่มธุรกิจ Trading ของบริษัทใหญ่ที่เพิ่มขึ้นจากยอดขายในกลุ่ม Energy จำนวน 61.98ล้านบาท ซึ่งมี Margin สูงกว่าที่ประมาณการไว้ และยังคงมี backlog ที่รอการส่งมอบตามแผน กลุ่ม Industrial และ Export & Others รายได้ลดลง 9.77 ล้านบาท และ 49.15 ล้านบาท ตามลำดับ และรายได้จากการขายสินค้าในกลุ่มธุรกิจ Trading จากบริษัท ยูเอซี เทรดดิ้งโซลูชั่นส์ จำกัด (UACT) ลดลง 4.67 ล้านบาท
และธุรกิจ Manufacturing – Chemicalsภายใต้การดำเนินธุรกิจของบริษัท ยูเอซี แอ็ดวานซ์ โพลิเมอร์ แอนด์ เคมิคัลส์ จำกัด (UAPC) ซึ่งมีสถานะเป็นบริษัทร่วม ยังคงเผชิญปัญหาการชะลอตัวของตลาดเคมีภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไตรมาสแรกของปีนี้ ยังคงได้รับส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจำนวน 0.78 ล้านบาท
นอกจากนี้ นายชัชพล CEO UAC ยังได้อัปเดตถึงความคืบหน้าโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ได้แก่
1.โครงการโรงไฟฟ้าพืชพลังงานภูผาม่าน (PPM) ปัจจุบันเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เดินเครื่อง Generator#1 กำลังการผลิต 1.5 MW. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) จากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ขณะที่ Generator#2 กำลังการผลิต 1.5 MW. จะดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในไตรมาส 2/2567 นี้
2. โครงการ PT Cahaya Yasa Cipta (CYC) ซึ่งเป็นการร่วมทุนในบริษัท PT Cahaya Cipta สัดส่วน 70% ของบริษัท ยูเอซี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (บริษัทย่อย) เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่าย RDF3 ในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ภายใต้กำลังการผลิตประมาณ 40,000 ตัน/ปี โดยจะจำหน่ายให้กับโรงปูนซีเมนต์ในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานและคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในปี 2567
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญ ต่อการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน เคารพสิทธิมนุษยชน และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียเป็นสำคัญ พร้อมกับการดำเนินงานควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) โดยบริษัทฯ ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนตามหลักการ ESG ในทุกมิติ