UAC ส่งซิกธุรกิจ“ปิโตรเลียม - โรงไฟฟ้าชุมชน - โรงงานผลิต RDF”รุ่งดันรายได้ปี 2566 โตเข้าเป้า 15%
กรุงเทพฯ - บมจ.ยูเอซี โกลบอล (“UAC”) เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน จ่อรับรู้รายได้จากการลงทุนธุรกิจ“ปิโตรเลียม - โรงไฟฟ้าชุมชน - โรงงานผลิต RDF”เพิ่มขึ้น พร้อมเล็งต่อยอดลงทุนธุรกิจพลังงานสะอาดใน-นอกประเทศเพิ่มขึ้น หนุนรายได้ปี 2566 โตตามแผนที่วางไว้ 15% และ EBITDA มากกว่า 20%
นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ “UAC” เปิดเผยว่า ยังคงเดินหน้าการลงทุนในโครงการต่างๆ ต่อเนื่องจากการขับเคลื่อนกลยุทธ์การลงทุนธุรกิจพลังงานสะอาด เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตของรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 15% ควบคู่กับการรักษาระดับการเติบโตของอัตรากำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) มากกว่า 20% ของรายได้ยอดขายรวม พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการเตรียมปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ของ UAC Group เพื่อเป้าหมายรายได้ 4,000 ล้านบาทในปี 2027
ปัจจุบันโครงการที่มีการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ได้เริ่มทยอยเปิดดำเนินการเพิ่มขึ้น อาทิ โครงการโรงไฟฟ้าภูผาม่าน (PPM) คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เดินเครื่อง Generator#1 กำลังการผลิต 1.5 เมกกะวัตต์ ภายในเดือนธันวาคม 2566 นี้ ส่วนGenerator#2 กำลังการผลิต 1.5 เมกกะวัตต์ จะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในไตรมาส 1/2567
ส่วนโครงการ PT Cahaya Yasa Cipta (CYC) ซึ่งเป็นโครงการภายการการลงทุนของบริษัท ยูเอซี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (บริษัทย่อย) ร่วมลงทุนใน PT Cahaya Cipta สัดส่วน 70% เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่าย RDF3 ในประเทศอินโดนีเซีย มีกำลังการผลิตประมาณ 40,000 ตัน/ปี โดยจะจำหน่ายให้กับโรงปูนซีเมนต์ในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งได้มีการวางศิลาฤกษ์เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 และอยู่ระหว่างการจัดเตรียมข้อมูลเพื่อยื่นขอใบอนุญาตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างโรงงานและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในไตรมาส 3/2567
พร้อมทั้งให้ความความสำคัญในการรักษาสภาพคล่องทางการเงิน ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อลดผลกระทบจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังเจอแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มองว่าเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัวจากภาระเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง โดยมีกระแสเงินสด ณ สิ้นไตรมาส 3/2566 จำนวน 250.73 ล้านบาท และอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) 0.84 เท่า ยังคงเป็นไปตามกรอบนโยบายทางการเงินของบริษัทที่ไม่เกิน 2 เท่า
จากความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทฯ ยังได้รับการประเมินตามโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (CGR) ประจำปี 2566 อยู่ในระดับ “ดีเลิศ (Excellent)” หรือ 5 ดาว ที่จัดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ภายใต้การสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ติดต่อกันเป็นปีที่ 6 ถือเป็นการสะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการให้ความสำคัญด้านการบริหารงานอย่างมีความรับผิดชอบ โปร่งใส และให้ความสำคัญต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกส่วน ซึ่งสอดกับวิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่น สู่การเป็นผู้ประกอบการด้านพลังงานสะอาด ปิโตรเคมีและสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (ESG)