TEGH เข้าสู่โหมด Sustainability to Profitabilityมั่นใจยอดขายยางแท่งปี 67 สร้างสถิติสูงสุดใหม่กฎหมาย EUDR หนุนผลงานโตแรง-จ่อ COD ไบโอแก๊สเพิ่ม Q4/67
บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) เปิดแผนและกลยุทธ์ปี 67 เข้าสู่โหมด Sustainability to Profitability ฟากแม่ทัพหญิง “สินีนุช โกกนุทาภรณ์” ประเมินยอดขายยางแท่งปีนี้ สร้างสถิติสูงสุดใหม่ กฎหมาย EUDR หนุน พร้อมตั้งเป้าส่งออกยางพาราตามมาตรฐาน EUDR 1.0 แสนตัน ส่วนปี 68 คาดพุ่งแตะ 2.0-2.5 แสนตัน เตรียมส่งขายลูกค้าภายนอกใน Q4/24 ผูกสัญญายาว 7 ปี มูลค่า 1 พันล้านบาท หรือประมาณ 150 ล้านบาท/ปี หนุนผลการดำเนินงานเติบโตอย่างยั่งยืน
นางสาว สินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TEGH) ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ และน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ในภาคตะวันออก และผู้นำด้านการผลิตพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯได้มีการปรับแผน เข้าสู่โหมด Sustainability to Profitability หรือ การเติบโตอย่างยั่งยืนสู่การสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน จาก 3 สายธุรกิจ ประกอบด้วย 1.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ 2.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ 3.ธุรกิจด้านผลิตพลังงานทดแทนและการบริหารจัดการกากอินทรีย์ ซึ่งภายหลังจากที่บริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้มีการเดินหน้าขยายกำลังการผลิตยางแท่งตามแผน โดยภายในสิ้นปี 2567 กำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น 3.9 แสนตัน เทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.2 แสนตัน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และในปี 2568 กำลังการผลิตยางแท่งจะเพิ่มเป็น 4.3 แสนตัน
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 และในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากความต้องการยางพาราที่สูงขึ้น อีกทั้งยังได้รับปัจจัยบวกจากความสามารถในการส่งออกยางพาราที่ผลิตตามกฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) คณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 ธันวาคม 2567
“เราได้เริ่มส่งออกยางตามมาตรฐาน EUDR ตั้งแต่เดือนเมษายน ที่ผ่านมา และคาดว่าภายในสิ้นปียอดส่งออกยางมาตรฐาน EUDR จะอยู่ที่1.0 แสนตัน ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 2.0-2.5 แสนตันในปี 2568 ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) เติบโตอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากยาง EUDR มาร์จิ้น สูงกว่าเกรดมาตรฐานราว 3-5% หรืออยู่ที่ระดับประมาณ 15-18%”
น.ส.สินีนุช กล่าวว่า แนวโน้มยอดขายยางแท่งในปี 2567 คาดว่าจะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยจะเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนที่มียอดขาย 197,000 ตัน โดยกลุ่มลูกค้าส่งออกหลักอยู่ในสหรัฐอเมริกา และยุโรป
สำหรับธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ หลังจากที่เดินระบบและเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพ (ไบโอแก๊ส) เฟส 1 ในไตรมาส 4/2566 แล้ว ส่วนโครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพ (ไบโอแก๊ส) เฟส 2 คาดว่าจะ COD ภายในไตรมาส 2/2568 ซึ่งจะทำให้สามารถรับกากอินทรีย์ และผลิตก๊าซชีวภาพได้เพิ่มขึ้น
“ในไตรมาส 4/2567 เราจะเริ่มขายไบโอแก๊สให้กับลูกค้าภายนอก สัญญา 7 ปี มูลค่า 1,000 ล้านบาท หรือประมาณ 150 ล้านบาท/ปี ส่งผลให้บริษัทฯมีรายได้ประจำ (Recuring Income) ผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต”
ในส่วนของธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ เริ่มมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยหม้อต้มไอน้ำ (Boiler) ลูกใหม่พร้อมใช้งานใน Q3/24 และบริษัทฯ มีแผนที่จะติดตั้งหม้อนึ่งปาล์ม (Sterilizer) เพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นอีก 50% ภายในปี 2568
ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายรักษาความเป็นผู้นำด้านการผลิต Sustainable Material และเป็นองค์กรที่เน้นการใช้พลังงานหมุนเวียนทดแทนการใช้พลังงานจากฟอสซิลในทุกกระบวนการ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัทฯ ได้เป็น Eco Product อย่างแท้จริง ก้าวสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนด์ (Carbon Neutral) ภายในปี 2573 และสามารถสร้างผลตอบแทนจากการดำเนินงานด้านความยั่งยืนได้ตามโมเดล Sustainability to Profitability