NOBLEประกาศแผนธุรกิจปี 64 ปูทาง 3 ปี ขึ้นแท่น TOP 5 ผู้นำด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย
บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ประกาศศักดา เปิดศักราชใหม่ปี 2564 ก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 จ่อลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 45,100 ล้านบาท ตอกย้ำศักยภาพการบริหารงาน-แรงขับเคลื่อนสำคัญจากผู้ถือหุ้นใหญ่และพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญทางธุรกิจพร้อมระบุมั่นใจฐานลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติมีกำลังซื้อสูง หนุนทั้งปีตั้งเป้ารายได้แตะระดับ 11,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดขาย (pre-sale) แตะ 16,000 ล้านบาท ปูทางขึ้นเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยติดอันดับ TOP 5 ภายใน 3 ปีข้างหน้า (ปี2564-2566)
นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลชั้นนำของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เปิดเผยว่า ในปี 2564 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของการเติบโตและการลงทุนในก้าวที่สำคัญของบริษัทฯด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรระดับชั้นแนวหน้าที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทฯ ได้วางแผนธุรกิจการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2564 จำนวน 11 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 45,100 ล้านบาท
ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 30 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาในปี 2534 และตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปี2564 จำนวน 11,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 10% จากเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ จำนวน 10,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขาย (pre-sale) จำนวน 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 146% จากปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายไว้จำนวน 6,500 ล้านบาท
สำหรับแผนการพัฒนาโครงการในปี 2564 จะแบ่งเป็นโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทฯ จำนวน 5 โครงการโครงการที่ร่วมทุนกับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์จำกัด (มหาชน) จำนวน 5 โครงการ และโครงการที่ร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ จำนวน 1 โครงการ โดยในครึ่งปีแรก 2564 จะประเดิมเปิดโครงการทั้งคอนโดมิเนียมแนวสูงและแนวราบ จำนวน 4 โครงการประกอบด้วย 1. โครงการ NOBLE FORM THONGLOR มูลค่าโครงการประมาณ 5,400 ล้านบาท 2. โครงการ NUE NOBLE CENTRE BANGNA มูลค่าโครงการประมาณ 700 ล้านบาท 3. โครงการ THE EMBASSY AT WIRELESS มูลค่าโครงการ 10,700 ล้านบาท และ 4. โครงการ NUE CONDO AT DON MUEANG มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท ส่วนโครงการอื่น ๆ อีก 7 โครงการทั้งคอนโดมิเนียมบ้านแฝด และทาวน์โฮม จะทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง 2564 ตามนโยบายการรุกขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
นอกจากนี้ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ยังได้เปิดเผยว่า “ทางบริษัทฯ ได้มีการลงนามสัญญาทางธุรกิจกับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) โดยจะมีสัดส่วนการถือหุ้นโครงการละ 50:50 เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมแนวสูงและแนวราบ บ้านแฝด และทาวน์โฮม บนทำเลถนนสุขสวัสดิ์ ถนนราษฎร์บูรณะ ถนนคูคต และถนนพระราม 9 รวมจำนวน 4 โครงการมีมูลค่าโครงการกว่า 23,000 ล้านบาท หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการร่วมทุนพัฒนาโครงการแรกบนทำเลถนนรัชดา-ลาดพร้าว มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายมากกว่า50% โดยทั้ง 4 โครงการใหม่ติดรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานีคูคต (สายสีเขียว) สถานีราษฎร์บูรณะ และสถานีประชาอุทิศ (สายสีม่วง) รวมถึงรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีพระราม 9
อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) “BTS” และบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) “SPI” เพื่อลงทุนซื้อที่ดินบริเวณโครงการธนาซิตี้ บางนาในสัดส่วนการถือหุ้น NOBLE 40%, SPI 41%, และ BTS 19% โดยมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยร่วมกันตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในอนาคตเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจต่อไป
ในปี 2564 ถือเป็นก้าวสำคัญของ “โนเบิล” ซึ่งจะสร้างความแตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะด้วยความพร้อมหลังการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 3 รายของบริษัทฯ ในปัจจุบันถือหุ้นรวมกันประมาณ 50% ประกอบด้วย 1. นาย ธงชัย บุศราพันธ์ 2. NCROWNE PTE LTD. นำโดยนายแฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง และ3. บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ดังนั้นจะเห็นศักยภาพ และความเป็นมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละอุตสาหกรรมทั้งโดยตรงและที่มีความเกี่ยวข้องกัน จึงเป็นการผนึกกำลังพันธมิตรที่ลงตัวในการบริหารธุรกิจเพื่อสอดรับกับนโยบายการก้าวสู่ TOP 5 ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยภายในอีก 3 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมีแผนขยายและต่อยอดฐานลูกค้าของ “โนเบิล” ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง โดยปัจจุบันฐานลูกค้าแบ่งเป็นลูกค้าในประเทศ 60% และต่างประเทศ 40% ทั้งนี้แม้ว่าที่ผ่านมาลูกค้าอาจชะลอการซื้อ ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 แต่เรายังครองส่วนแบ่งยอดขายในตลาดรวมของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ได้ถึง 37% จากยอดขายรวมทั้งหมดในอุตสาหกรรมคอนโดมิเนียมเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วง 9 เดือนของปี 2563 ที่ผ่านมา” นายธงชัย กล่าว
ด้านความแข็งแกร่งทางฐานะทางการเงินนั้น ในปี 2564 บริษัทฯ ได้ตั้งงบลงทุนเพื่อการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ไว้แล้วกว่า 9,000 ล้านบาท ภายใต้การจัดการโครงสร้างทางการเงิน พร้อมสำหรับรองรับแผนการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ โดยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นกู้จำนวน 1,250 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดจองสูงกว่าที่ตั้งไว้ จึงต้องมีการนำหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Green Shoe) มาใช้และยังได้เตรียมออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญใหม่ของบริษัทฯให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 4 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้าโดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net IBD/E) ที่ระดับ 1.28 เท่า ซึ่งทำให้บริษัทฯ ยังมีความคล่องตัวในการกู้ยืมเงินจากสถาบันทางการเงินได้
นอกจากนี้ คาดว่าการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นของบริษัทฯ ที่ตราไว้ (Par Value) จากเดิมหุ้นละ 3 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท จะสามารถดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2564 ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องของการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯให้แก่นักลงทุนและเป็นปัจจัยในการส่งเสริมให้บริษัทฯมีคุณสมบัติครบถ้วนในการได้รับการพิจารณาเข้าคำนวณในดัชนี SET100 Index อีกด้วย