MCA ชี้เทรดวันแรก จะมี Big Lot 5% ให้ นลท. ขาใหญ่ ราคาไม่ต่ำกว่า IPO ด้านโบรกประสานเสียงเคาะราคาเหมาะสม 4.50 – 5.10 บาท
กรุงเทพฯ – บมจ.มาร์เก็ต คอนเน็กชั่นส์ เอเชีย “MCA” ระบุในวันแรกของการเข้าซื้อขายหุ้น MCA จะมีรายการ Big Lot 5% ให้กลุ่มนักลงทุน 2 ราย ในราคาไม่ต่ำกว่าราคาไอพีโอ 3.30 บาท แจงนักลงทุนไม่ต้องตระหนก ย้ำ มั่นใจไม่กระทบต่อโครงสร้างผู้บริหารของบริษัทฯ อย่างแน่นอน โดยผู้ถือหุ้นกลุ่มเดิมถือต่อในสัดส่วนหุ้นราว 69% ชี้เหตุที่ Big Lot ให้ “รัฐนันท์ วิไลลักษณ์” และ “นลินี แจ่มวุฒิปรีชา” เนื่องจากนักลงทุนเล็งเห็นโอกาสการเติบโต หลังระดมในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะนำไปขยาย Scale งานและธุรกิจใหม่ Distributor ที่สร้าง New S-Curve สู่การเติบโตในอนาคต ด้านโบรกประสานเสียงเคาะราคาเหมาะสม 4.50 – 5.10 บาท พร้อมส่งซิกสัญญาณเชิงบวก ผลการดำเนินงานพร้อมเติบโต
บมจ.มาร์เก็ต คอนเน็กชั่นส์ เอเชีย (“MCA”) ผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจบริการกิจกรรมทางการตลาดและการสร้างสรรค์อย่างครบวงจร โดยใช้นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และประสบความสำเร็จสู่การต่อยอดกิจกรรมทางการตลาดในอนาคต ภายใต้หัวใจหลัก“ความเชื่อใจ วัดผลได้ อย่างมืออาชีพ” เพราะระบบที่ดีจะสร้างผลงานที่มีคุณภาพ และทีมงานที่ดีจะสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือแรงผลักดัน เพื่อยกระดับองค์กร สู่มาตรฐานสากลและสร้างมูลค่าเพิ่มการเติบโตในอนาคต
นายภักดี เหล่างาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.มาร์เก็ต คอนเน็กชั่นส์ เอเชีย (“MCA”) เปิดเผยว่าบริษัทฯ พร้อมที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจบริการ (Service) ในวันที่ 26 ตุลาคม 2566 โดยในวันแรกของการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ นายภักดี เหล่างาม มีความประสงค์จะนำหุ้นสามัญจำนวนสัดส่วนร้อยละ 5.00 ของทุนจดทะเบียนหลัง IPO โดยขายให้นักลงทุน 2 ราย ได้แก่ นายรัฐนันท์ วิไลลักษณ์ และนางสาวนลินี แจ่มวุฒิปรีชา ในสัดส่วน ร้อยละ 3.91 และ ร้อยละ1.09 ของทุนจดทะเบียนหลัง IPO ตามลำดับ ผ่านการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big Lot) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยราคาซื้อขายดังกล่าวจะไม่ต่ำกว่าราคาที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไป ที่ระดับ 3.30 บาท
สำหรับการขาย Big Lot ให้นักลงทุน 2 รายข้างต้น ไม่มีความเกี่ยวข้องระหว่างกัน และไม่มีความเกี่ยวข้องกับกรรมการ ผู้บริหาร ผู้มีอำนาจควบคุม และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ อีกทั้ง ไม่มีการทำสัญญาผู้ถือหุ้น (Shareholder Agreement) ระหว่างนักลงทุนหรือระหว่างนักลงทุนกับผู้ขาย โดยการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างคณะกรรมการ และโครงสร้างผู้บริหารของบริษัทฯ แต่อย่างใด โดยบริษัทฯ ได้มีการเปิดเผยข้อมูลไว้ในไฟลิ่งไว้เรียบร้อยแล้ว
โครงสร้างผู้ถือหุ้นภายหลังการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ อันดับ 1 ยังคงเป็นบริษัท ภักดี 2019 โฮลดิ้ง จำกัด ในสัดส่วนการถือหุ้น 51.74% และอันดับ 2 คือนายภักดี เหล่างาม สัดส่วนการถือหุ้น 17.17% ซึ่งเมื่อนับรวมกันแล้ว ยังถือต่อราว 69%
“การที่มีนักลงทุนเข้ามาซื้อ Big Lot เชื่อว่ากลุ่มนักลงทุนดังกล่าว เล็งเห็นโอกาสและมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของ MCA ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะใช้นำไปขยาย Scale งาน และธุรกิจใหม่ Distributor ซึ่งเป็นการสร้าง New S-Curve สู่การเติบโตในอนาคต โดยปัจจุบันได้รับโอกาสจากลูกค้ากลุ่มธุรกิจของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์แล้ว 2 ราย ซึ่งเป็นการให้บริการการจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าประเภทร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) กระจายทั่วประเทศไทย ”
ซึ่งจากความมุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการธุรกิจกิจกรรมทางการตลาดหลากหลายรูปแบบที่ครบวงจรมากขึ้น สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตที่กลุ่มนักวิเคราะห์ได้ประเมินราคาความเหมาะสมหุ้น MCA ไว้ดังนี้
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเหมาะสม MCA ที่ 5.10 บาทต่อหุ้น โดยประสบการณ์ในการให้บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดแบบครบวงจร และมีการขยายธุรกิจ Distributor ซึ่งจะมีโอกาสเกิด upsideใหม่ ทำให้คาดการณ์กำไรปกติในปี 2023 ที่ 36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% (YoY) ขณะที่รายได้รวมปี 2023 ที่ 499 ล้านบาท (+34% YoY) โดยมี backlog เป็น secured revenue 96% และกำไรปกติ ปี 2024 ที่ 59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% (YoY) ขณะที่รายได้ปี 2024 ประเมินที่ 650 ล้านบาท (+30%YoY) อิงสมมติฐานเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากการกลับมาของภาคการท่องเที่ยว ส่วน GPM ในปี 2023 -2024 ประเมินไว้ที่ 22% สะท้อนโครงสร้างที่ใกล้เคียงกับปี 2022
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ให้ราคาเหมาะสม MCA ที่ 5.00 บาทต่อหุ้น MCA ผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด พร้อมการให้บริการจัดกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดแบบครบวงจร โดยมีบริการหลัก 4 ประเภท 1) บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัล 2) บริการบรรจุและจัดส่งสินค้า 3) บริการพนักงานแนะนำสินค้า 4) บริการจัดเรียงสินค้า และขยายสู่ธุรกิจใหม่ในการเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า ( Distributor) ซึ่งจะสนับสนุนให้สร้างผลกำไรโดยรวมปรับดีขึ้น พร้อมประเมินรายได้จากการบริการ ในปี 2566-2567 ราว 489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% (YoY) และ 625 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% (YoY) ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) เท่ากับ 19%ต่อปี จึงใช้สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น(GPM) ในปี 2566 ทีระดับ 22.5% เท่ากับงวด 6 เดือนแรกปี 2566 และปรับดีขึ้นเป็น 23% ในปี 2567 ส่งผลให้ประเมินกำไรสุทธิในปี 2566-2567 ที่ 33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% (YoY) และ 56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น70% (YoY) หรือคิดเป็นอัตราการ เติบโตเฉลี่ย CAGR) เท่ากับ 50% ต่อปี
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเหมาะสม MCA 4.80 บาทต่อหุ้น โดยได้คาดการณ์กำไรสุทธิ ปี 2023-2024 ที่ 31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% (YoY) และปี 2024 อยู่ที่ 54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75%(YoY) และคาดว่าจะมีรายได้จากการให้บริการรวมในช่วงปี 2023-2024 เพิ่มขึ้น 22.8% และเพิ่มขึ้น 23.3% ตามลำดับ เป็นผลมาจากรายได้จากทุกธุรกิจฟื้นตัวจากช่วงโควิดต่อเนื่อง ที่สำคัญการขยายงานในธุรกิจบริการใหม่ ได้แก่ รายได้จากกลุ่มการบริการจัดเรียงสินค้า (Merchandiser) ที่เติบโตขึ้นมากที่สุดและเป็นหนึ่งในสัดส่วนรายได้หลักของบริษัท และธุรกิจผู้จัดจำหน่ายสินค้า (Distributor) ที่ล่าสุดบริษัทฯ ได้มีเริ่มดำเนินการโครงการนำร่อง (Pilot Project) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเริ่มดำเนินการให้บริการตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2023
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ให้ราคาเหมาะสม MCA ที่ 4.60 บาทต่อหุ้นโดยคาด กำไรสุทธิของบริษัทจะมีการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 61.0% CAGR ใน 2022-2025 และกำไรต่อหุ้นเติบโต 45.6% CAGR และคาดว่ารายได้สำหรับปี 2023-2025 จะอยู่ที่ 475 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.3% (YoY) 598 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.0% (YoY) และ 685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6%(YoY) ตามลำดับ โดยบริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัลจะเป็นบริการหลักหนุนการเติบโต โดยคาดว่าจะมีการเติบโตอยู่ที่ 21.5% CAGR ใน 2022-2025
บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเหมาะสม MCA ที่ 4.50 บาทต่อหุ้น ได้คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นเติบโตเฉลี่ยที่ระดับ CAGR 43% ในปี 2023-2025 และคาดกำไรสุทธิเติบโตจาก 17 ล้านบาทในปี 2022 เป็น 68 ล้านบาท ในปี 2025 จากรายได้เติบโต 32% 29% และ17% ในปี 2023-2025 ตามลำดับ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ในปี 2023-2025 ที่ระดับ 22-23% เทียบกับ 22.5% ใน1H23 และ 22.2% ในปี 2022 เป็นผลจากการเติบโตสูงของรายได้จากบริการMerchandiser (มี GPM ที่ราว 17%) และรายได้จากบริการใหม่ Distributor (คาด GPM ราว 8-10%) ที่เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ 2H23 ซึ่งเป็นธุรกิจที่มี GPM ต่ำกว่าบริการกิจกรรมด้านการตลาดที่มี GPM สูงกว่า