DTCENT โชว์แกร่ง! กำไร Q3/66 พุ่ง 196.82%อานิสงส์รายได้ให้บริการ GPS Tracking และงานโครงการภาครัฐคึกคักลุยเปิดศูนย์บริการฯ ครบ 8 แห่ง หนุนผลงานปีนี้โต 10-15%
บมจ.ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) โชว์แกร่ง! งบไตรมาส 3/66 มีกำไรสุทธิ 43.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น196.82% รับรู้รายได้เพิ่มจากการให้บริการระบบติดตามยานพาหนะ (GPS Tracking) และงานโครงการภาครัฐ ฟากบิ๊กบอส “ทศพล คุณะเพิ่มศิริ” ส่งสัญญาณโค้งสุดท้ายโตต่อเนื่อง ลุยเปิดศูนย์บริการและขายสินค้า GPS Tracking ครบ 8 แห่ง ภายในปีนี้ รองรับความต้องการผู้บริโภคในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี หนุนผลงานปี 66 โตเข้าเป้า 10-15%
นายทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (DTCENT) ผู้นำในการให้บริการระบบ GPS Tracking อันดับ 1 ในประเทศไทย(อ้างอิงจากข้อมูลกรมการขนส่งทางบกในเดือนมกราคม 2565) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2566 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 43.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น196.82% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 14.80 ล้านบาท และมีรายได้รวม 220.03 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 41.85% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 155.11 ล้านบาท
ขณะที่ ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2566 มีกำไรสุทธิ 83.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.78% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 52.39 ล้านบาท และมีรายได้รวม 558.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.45% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 479.72 ล้านบาท
ปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นมาจากรายได้จากการขายและให้บริการ ทั้งการใช้ระบบติดตามยานพาหนะ (GPS Tracking) และงานโครงการของภาครัฐ
“ผลประกอบการในงวดไตรมาส 3 ปีนี้ DTCENT ยังสามารถทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการที่บริษัทฯ มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีความทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับองค์กรต่างๆ และสินค้าระบบ GPS Tracking ประเภทเช่ายังได้รับความนิยมจากลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย” นายทศพล กล่าว
สำหรับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 4/2566 ยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง จากการเร่งเปิดศูนย์บริการสำหรับจำหน่าย ติดตั้ง และซ่อมบำรุงอุปกรณ์ GPS Tracking และกล้องติดรถอย่างครบวงจร ตามจังหวัดใหญ่ๆ ของประเทศ โดยตั้งเป้าหมายให้ครบ 8 แห่งภายในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้บริการแล้ว 6 แห่ง ทั้งกรุงเทพฯ เชียงใหม่ อุดรธานี ขอนแก่น อยุธยา นครสวรรค์ เพื่อให้เข้าถึงผู้ใช้บริการรถยนต์ส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับในช่วงนี้ไปจนถึงปลายปีและต้นปีหน้า จะเกิดการเดินทางท่องเที่ยว และกลับภูมิลำเนาในช่วงสิ้นปี ซึ่งความต้องการใช้บริการระบบ GPS Tracking จะมีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่งผลเชิงบวกให้กับบริษัทฯ และปัจจัยเหล่านี้ จะสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมาย สามารถสร้างผลงานในปีนี้เติบโตได้ที่ระดับ 10-15% ตามแผนที่วางไว้
ขณะเดียวกัน งานด้าน IoT Solution และ ระบบ AI รองรับการขยายโครงการของภาครัฐ และเทศบาลต่างๆ ล่าสุด บริษัทฯ ได้รับงานโครงการระบบ AI เพื่อบริหารจัดการเครื่องสูบน้ำ ของสำนักการระบายน้ำกรุงเทพมหานคร ส่วน BAMS (Business Activity Management System) ทดลองเปิดให้บริการบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนเรียบร้อยแล้ว ในส่วนของระบบ BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform คาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้
ส่วนการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเป็นการนำโมเดล ระบบ GPS Tracking และ IoT Solution ร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศ ล่าสุด ได้ลงนามสัญญากับบริษัท สุดาพอนการค้า ขาเข้า-ขาออก และบริการจำกัด และบริษัท พีทีแอล โฮลดิ้ง จำกัด เพื่อร่วมลงทุนจัดตั้ง บริษัท ดี.ที.ซี. ลาว จำกัด ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนเตรียมจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท
สำหรับความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ประกอบด้วย บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น(YES) วางแผนที่จะพัฒนาให้บริษัทฯ เป็น Tier 1 Supplier ในงาน OEM สำหรับอุปกรณ์ GPS Tracking และ Telematics ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาจจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาสินค้าร่วมกัน และคาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีหน้าเพิ่มเติม ส่วนบริษัท บุญรอดซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ขณะนี้ ร่วมวางแผนงานการดำเนินธุรกิจ ในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และพัฒนาผลิตภัณฑ์ Supply Chain Solutions ใหม่ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุน พร้อมเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ รวมทั้งส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้กับบริษัทฯ มากขึ้น
อีกทั้ง DTCENT ร่วมกับบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน กำลังศึกษาการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก ในรูปแบบการทำ M&A ในบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีหน้า