โตเกียวมารีนฯ ผสานความร่วมมือประกันคุ้มภัย ด้านประกันวินาศภัยไทย
โตเกียวมารีนฯ ผสานความร่วมมือประกันคุ้มภัย พร้อมเป็นหนึ่งในผู้นำด้านประกันวินาศภัยไทย ตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยรับรวม 21,700 ล้านบาท ภายใน 3 ปี
หลังจากที่โตเกียวมารีนโฮลดิ้งส์ ประกาศการเข้าซื้อกิจการของบริษัท ประกันคุ้มภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งการทำสัญญาครั้งนี้ ครอบคลุมถึงกิจการในประเทศอินโดนีเซีย ถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนธุรกิจของกลุ่มโตเกียวมารีนในภูมิภาคเอเชียเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งกระบวนการและขั้นตอนต่างๆเป็นไปตามข้อกำหนดของโตเกียวมารีนโฮลดิ้งส์ ขณะนี้ทั้ง บริษัท โตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ประกันคุ้มภัย จำกัด (มหาชน) มีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบถึงแผนการผสานความร่วมมือเป็นหนึ่ง ในนาม “บริษัท คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)” ซึ่งคาดว่ากระบวนการควบรวมเป็นหนึ่งบริษัทจะเรียบร้อย หลังได้รับความเห็นชอบจาก สำนักงานคณะกรรมการการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)ภายในต้นปีหน้า ภายใต้การบริหารงานในนาม คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัยฯ พร้อมเป็นหนึ่งในผู้นำด้านประกันวินาศภัยไทย โดยตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยรับรวมไม่ต่ำกว่า 21,700 ล้านบาท ภายในปี 2022 ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย มาตรฐานการบริการระดับสากล พร้อมเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ
นายสุธีชัย สันติวราคม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ประกันคุ้มภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ขณะนี้เราได้ยื่นการจดทะเบียนในนามบริษัทใหม่ต่อทางคปภ. รวมทั้งแผนการควบรวม ซึ่งคาดว่ากระบวนการต่างๆทางด้านกฎหมายจะเสร็จสิ้นภายในต้นปีหน้า ผมมีความเชื่อมั่นว่าทั้งโตเกียวมารีนฯ และ ประกันคุ้มภัย ต่างมีจุดแข็งที่เราจะสามารถร่วมมือกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการที่ดียิ่งขึ้นแก่ลูกค้าและสังคมไทย ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมมากขึ้น ภายใต้แนวคิด “ผสานความร่วมมือเป็นหนึ่ง ร่วมสร้างอนาคตไปด้วยกัน” (Synergizing For the Future) โดยตั้งเป้าว่า จะมีรายได้เบี้ยประกันภัยรับรวมราว 21,700 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 1,100 ล้านบาท ในอีก 3 ปีข้างหน้า มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ราว 4-5% ต่อปี เป้าหมายของเรา คือ การเป็นบริษัทประกันวินาศภัยชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ที่พร้อมดูแลลูกค้าทุกคนด้วยความมั่นใจ ตามวิสัยทัศน์ ‘To Be a Good Company’
แผนการควบรวมและดำเนินธุรกิจของ คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัยฯ อยู่ภายใต้แนวคิดและหลักการที่ต้องการผสานความแตกต่างเพื่อสร้างความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกัน หรือ ‘One Team’ ทั้ง 2 บริษัท ต่างมีจุดแข็งและข้อได้เปรียบ อย่างเช่น โตเกียวมารีนฯ มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งจากเครือข่ายบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจในไทยและกลุ่มประเทศแม่น้ำโขงซึ่งให้ความไว้วางใจบริษัทมาอย่างยาวนาน และเป็นผู้นำในธุรกิจประกันภัยขนส่งสินค้าทางทะเล ในขณะที่ ประกันคุ้มภัยฯ เป็นผู้นำด้านประกันภัยรถยนต์ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน พร้อมการบริการด้านสินไหมเชื่อมโยงทั่วประเทศและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ดังนั้นการร่วมมือกันครั้งนี้ จะกลายเป็นมิติใหม่ของวงการประกันวินาศภัยไทย ด้วยการดูแลและให้บริการที่ได้ดีกว่าเดิม และเครือข่ายที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
นายฮิโระโนะริ คิริว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า “ผมเชื่อในแนวคิดที่ว่า 1+1 ย่อมดีกว่า 2 เมื่อรวมพลังกันเป็นหนึ่ง ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ยิ่งดูแลลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ยิ่งมอบสิ่งดีๆ ให้กับคู่ค้า สังคมไทย ตลอดจนถึงบุคลากรของทั้ง 2 บริษัท และการพัฒนาวงการประกันวินาศภัยไทยให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น เรายังคงยึดมั่นการดำเนินธุรกิจด้วยวิสัยทัศน์ ‘To Be a Good Company’ ที่กลุ่มบริษัทโตเกียวมารีนทั่วโลกยึดถือ อันประกอบไปด้วย 1.มองไกลกว่าผลกำไร (Look beyond profit) , 2.ให้ความสำคัญกับบุคลากร (Empower Our People), และ 3.ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา (Deliver on Commitments) ด้วยแนวคิดนี้ ผมเชื่อว่าเราจะให้การดูแลลูกค้าทุกคนด้วยความเชื่อมั่นและไว้วางใจ และพร้อมตอบแทนคืนกลับสู่สังคมไทย”
ด้าน นายชินคิจิ ไมค์ มิกิ กรรมการผู้จัดการ โตเกียวมารีนเอเชีย เปิดเผยว่า “โตเกียวมารีนเอเชีย พร้อมสนับสนุนธุรกิจประกันวินาศภัยในประเทศไทย โดยได้มีการจัดตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมา เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูลระหว่างกลุ่มธุรกิจของโตเกียวมารีนกรุ๊ป ในอนาคตผมมองว่า กลุ่มบริษัทโตเกียวมารีนในทวีปเอเชีย จะประสานความร่วมมือกันพัฒนาระบบไอทีและดิจิทัล เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในภูมิภาคและการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคตต่อไป”
สำหรับ คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัยฯ มีแผนดำเนินกลยุทธ์ผ่านช่องทางการขายหลัก ประกอบไปด้วย 1.ช่องทางสาขาที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 100 แห่ง 2.ฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งจากเครือข่ายบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นในไทยและกลุ่มประเทศแม่น้ำโขง (J-Biz Clients) 3.ช่องทางการขายผ่านตัวแทนและโบรกเกอร์ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในระดับสากลและระดับแนวหน้าของประเทศ 4.การเป็นพันธมิตรร่วมกับ ฝ่ายธุรกิจ ผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ที่มีความสัมพันธ์เหนียวแน่น (Dealers & OEM) 5.ช่องทางอื่นๆ อาทิ B2B2C และ ช่องทางการขายประกันภัยรถยนต์ออนไลน์